เทคนิค On-Page SEO สำหรับผู้เริ่มต้น อัพเดทล่าสุดปี 2024

หากคุณเป็นหนึ่งในผู้ที่ต้องการให้เว็บไซต์ติดอันดับหน้าแรกบน Google และเป็นที่นิยมสำหรับผู้ค้นหา แนะนำว่าต้องเรียนรู้เกี่ยวกับเทคนิค On-Page SEO ซึ่งจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณเข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น เป็นที่นิยมเเละส่งผลให้เว็บไซต์มีคะแนนสูงมากกว่าเดิม จนสามารถติดอันดับหน้าแรกได้บน Google ได้ ซึ่งจะมีวิธีการทำอย่างไรสำหรับเทคนิคนี้ มาติดตามกันได้เลยกับคู่มือเทคนิค On-Page SEO สำหรับผู้เริ่มต้น

โดยเนื้อหาในคู่มือนี้จะเเบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ๆ ได้แก่

  1. พื้นฐานเทคนิค On-Page SEO
  2. เทคนิค On-Page SEO ทำได้อย่างไร

ส่วนที่ 1 พื้นฐานเทคนิค On-Page SEO

On-Page SEO คืออะไร

On-Page SEO คือ การจัดการปัจจัยภายในเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเทคนิคนี้จะเป็นการปรับแต่งคอนเทนต์ และหน้าเว็บไซต์ให้ Google และผู้ค้นหาเข้าใจในคอนเทนต์ของคุณได้ง่ายขึ้น และมองว่ามีประโยชน์ ซึ่งทาง Google จะมองเห็นว่าเว็บไซต์ของคุณนั้นใช้งานได้จริง มีเนื้อหาคอนเทนต์ที่ชัดเจน เเบ่งเเยกเป็นหมวดหมู่ เเละมีผู้สนใจเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์เป็นตำนวนมาก จะส่งผลให้อันดับเว็บไซต์เพิ่มสูงขึ้นได้ 

ทำไม On-Page SEO จึงมีความสำคัญ

On-Page SEO เป็นการจัดการองค์ประกอบภายในเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการปรับคอนเทนต์เนื้อหา, การสร้าง Title tags, รูปภาพสื่อมีเดีย, Internal Links และการสร้าง URL เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยภายในเว็บไซต์ ที่ทาง Google จะใช้พิจารณาว่าเว็บไซต์ของคุณมีผลการค้นหาเป็นอย่างไร มีการโต้ตอบจากผู้ค้นหาอย่างไรบ้าง มีอัตราการชมที่สูงหรือไม่ มีประสิทธิภาพ และประโยชน์มากน้อยเพียงใด เพื่อที่จะได้จัดอันดับเว็บไซต์ของคุณว่าสมควรจะอยู่บนหน้าแรกของ Google หรือไม่นั่นเอง ดังนั้นหากคุณกำลังทำเว็บไซต์อยู่ และต้องการให้เว็บไซต์ติดอันดับหน้าแรก มียอดผู้เข้าชมสูง ไม่ควรมองข้ามการทำ On-Page SEO เป็นอันเด็ดขาด ซึ่งนับว่าเป็นเทคนิคสำคัญมากที่จะช่วยให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกบน Google ได้

ส่วนที่ 2 เทคนิค On-Page SEO ทำได้อย่างไร

แม้ว่า Google จะมีการพิจารณาเว็บไซต์ด้วยการดูคีย์เวิร์ดสำคัญบนเว็บเพจของคุณ แต่อย่างไรก็ตามการใช้คีย์เวิร์ดซ้ำ ๆ กัน ไม่ใช่การทำ On-Page SEO หากคอนเทนต์ของคุณมีการใช้คีย์เวิร์ดจำนวนมาก และเป็นคำเดิม ๆ จะส่งผลเสียต่อเว็บไซต์ทำให้อันดับของเว็บลดต่ำลงได้ ดังนั้นถ้าอยากให้เว็บไซต์มีอันดับสูง ๆ มาดูเทคนิควิธีการปรับแต่งเว็บไซต์ให้เหมาะสมด้วยการทำ On-Page SEO กันเลยดีกว่า

ใช้แท็ก Heading 1 (H1) สำหรับตั้งชื่อ Page title

Heading tage รวมถึง H1 จะช่วยให้ Google สามารถเข้าใจเนื้อหาในหน้าเว็บไซต์ของคุณได้ง่ายมากขึ้น โดยการใช้ H1 นั้นจะต้องใช้ H1 สำหรับเป็นชื่อเรื่องของแต่ละหน้าเพจบนเว็บไซต์ของคุณ

ซึ่งหากคุณต้องการตรวจเช็คหน้าเว็บที่ไม่มี H1 สามารถใช้เครื่องมือฟรีอย่าง Ahrefs’ Site Audit ได้ ซึ่งเครื่องมือนี้จะทำการตรวจสอบและรายงานเนื้อหาภายในเว็บไซต์ของคุณ โดยหากต้องการใช้งานตรวจสอบ H1 สามารถเข้าใช้ฟรีด้วยบัญชี Ahrefs Webmaster Tool (AWT) จะช่วยให้คุณพบว่าหน้าเพจใดที่ยังไม่มี H1 เมื่อค้นพบแล้วคุณสามารถเข้าไปสร้าง H1 ให้เป็นชื่อเรื่อง (Title) ของหน้าเพจนั้น ๆ ได้ 

ใช้แท็ก Heading 2-6 (H2-H6) สำหรับการตั้งชื่อหัวข้อย่อย

หลังจากที่มีการใช้ H1 สำหรับการตั้งชื่อเรื่องในแต่ละหน้าเพจของเว็บไซต์แล้ว ต่อมาจะต้องมีการใช้ H2-H6 สำหรับการตั้งชื่อหัวข้อย่อย เพื่อเป็นการเพิ่มลำดับชั้นของเนื้อหา นอกจากนั้นสามารถใช้ H3 สำหรับเป็นหัวข้อย่อยรองเพิ่มเติมจาก H2 ได้ การใช้เเท็กเหล่านี้จะทำให้ผู้ค้นหาสามารถทำความเข้าใจ และอ่านบทความของคุณได้ง่ายมากขึ้น 

เขียนชื่อ Title tag ให้น่าสนใจ เพื่อดึงดูดผู้ค้นหา

Title tags เป็นองค์ประกอบอันดับแรก ๆ ที่จะดึงดูดให้ผู้ค้นหาคลิกเข้าสู่เว็บไซต์ของคุณ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องสร้างให้ Title tags น่าสนใจ อ่านแล้วเข้าใจง่ายว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร และยังส่งผลให้มีอัตราการคลิกเข้าชมเว็บไซต์เพิ่มขึ้นได้ โดยการสร้าง Title tags ให้ดูน่าอ่าน น่าเข้าชม สามารถทำได้ตามเทคนิค ดังต่อไปนี้

  • ต้องตั้งชื่อให้เป็นประโยคสั้น ๆ ไม่ยาวจนเกินไป กระชับ เข้าใจง่าย ซึ่งควรมีอักขระไม่เกิน 70 ตัว
  • ตั้งชื่อให้ตรงกับจุดประสงค์ของการค้นหา ซึ่งชื่อ Title นั้นจะต้องสามารถบ่งชี้ผู้ค้นหาได้ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร ตรงกับสิ่งที่พวกเขาสนใจค้นหาหรือไม่
  • จะต้องเป็นประโยคสั้น ๆ ที่อธิบายได้อย่างกระจ่างชัด ไม่คลุมเครือ และมีความจำเพาะเจาะจง สอดคล้องกับเนื้อหาที่คุณเขียน
  • ภายใน Title tags หรือชื่อเรื่องนั้นจะต้องมีคีย์เวิร์ดสำคัญอยู่ด้วย ซึ่งต้องเป็นคำที่เกี่ยวข้อง และมีความเหมาะสม
  • สามารถใส่ปี พ.ศ. เข้าไปได้ เช่น “รวมสุดยอดเทคนิค On-Page SEO ใหม่ ปี 2023” เป็นต้น ซึ่งการใส่ปีเข้าไปจะช่วยให้บทความดูสดใหม่ และน่าสนใจ

ซึ่งคุณต้องตั้ง Title tag ในทุก ๆ หน้าเพจที่มีการจัดทำดัชนี โดยการตรวจสอบหน้าเพจที่ไม่มี Title tag หรือมีแต่ทว่า Title tag นั้นไม่สมบูรณ์ ซึ่งอาจจะยาวเกินไป หรือไม่เหมาะสม สามารถใช้บัญชี Ahrefs Webmaster Tool (AWT) ตรวจสอบได้ คุณจะสามารถตรวจสอบปัญหาเกี่ยวกับ Title tag ในแต่ละหน้าเพจ และทำการแก้ไขในส่วนนี้ได้

เขียน Meta Description ให้น่าสนใจ

ในส่วนของ Meta Description นั้น ไม่ได้เป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดอันดับเว็บไซต์ แต่ทว่าเป็นส่วนที่สามารถดึงดูดการคลิกเข้าชมเว็บไซต์ได้ เนื่องจาก Google มักจะแสดงผลลัพธ์ของการค้นหาเป็นคำอธิบายเนื้อหาคอนเทนต์สั้น ๆ เพื่อให้ผู้ค้นหาได้อ่านก่อนที่จะเลือกคลิกเข้าสู่เว็บไซต์ ซึ่งคำอธิบายที่เห็นบนหน้า Google นั้น จะมาจากส่วน Meta Description นั่นเอง

และหากคุณอยากเขียนให้ Meta Description มีความน่าสนใจ และดึงดูดผู้คน สามารถทำตามเทคนิค ดังต่อไปนี้

  • อย่าเขียนยาวเกินไป เขียนให้กระชับ ได้ใจความ และควรมีอักขระไม่เกิน 160 ตัว 
  • การเขียน Meta description คือ การเขียนอธิบายขยายความในส่วนของ Title tag ให้ลึกมากขึ้น
  • ใช้ Active Voice ในการระบุที่อยู่ของผู้ค้นหาโดยตรง
  • ในการเขียน Meta description จะต้องมีคีย์เวิร์ดรวมอยู่ด้วย ซึ่งคีย์เวิร์ดจะต้องมีการเน้นเป็นตัวหนังสือหนา

ซึ่งคุณสามารถใช้ Ahrefs’ Site Audit ในการตรวจสอบหน้าเพจที่มีปัญหาเกี่ยวกับ Meta Description ซึ่งหน้าเพจนั้น ๆ อาจจะไม่มีในส่วนนี้ หรือมีการเขียนอธิบายที่ยาวจนเกินไป 

คุณรู้หรือไม่

จากการศึกษาพบว่าส่วนใหญ่ Google จะไม่ใช้ Meta Description สำหรับเป็นตัวอย่างผลลัพธ์ข้อมูลการค้นหา ซึ่งจะใช้เพียงแค่ 37.22% เท่านั้น แต่จะใช้เนื้อหาอื่น ๆ จากเพจในการแสดงผลลัพธ์การค้นหาบนหน้า Google เสียมากกว่า แต่อย่างไรก็ตามการเขียน Meta Description ให้น่าสนใจ ก็ยังคงสามารถช่วยเพิ่มอัตราการคลิกเข้าชมเว็บไซต์ได้ 

ตั้งค่า URL ให้เป็นมิตรกับ SEO (SEO Friendly)

ถ้าหากคุณอยากให้เว็บไซต์ประสบความสำเร็จจากการทำ SEO จะต้องมีโครงสร้างของ URL ที่เหมาะสม ไม่เพียงเท่านั้นคุณยังต้องมีคำอธิบายในแต่ละหน้า (description slug) อีกด้วยโดยเป็นการอธิยายสั้น ๆ ซึ่ง Google มีข้อกำหนดว่าจะต้องเป็นคำที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของคุณ และต้องมีคีย์เวิรฺ์ดหลักอยู่ภายในนั้นด้วย

เพิ่มประสิทธิภาพรูปภาพภายในเว็บไซต์

รูปภาพเป็นองค์ประกอบสำคัญในเว็บไซต์ ซึ่งรูปภาพสามารถติดอันดับในการค้นหารูปภาพบน Google ได้ และเพิ่มอัตราการเข้าชมเว็บไซต์ได้อีกด้วย ซึ่งหากคุณต้องการเพิ่มประสิทธิภาพรูปภาพในเว็บไซต์ สามารถทำได้ดังนี้

1. ใช้ชื่อไฟล์ภาพที่สามารถสื่อความหมายได้

Google ได้กล่าวไว้ว่าชื่อไฟล์ภาพจะเป็นการบ่งบอกถึงเนื้อหาที่เกี่ยวกับภาพนั้น ๆ เช่น dog.jpg เป็นชื่อไฟล์ภาพที่ดีกว่า IMG_859045.jpg โดยสามารถสื่อได้ว่าภาพนี้เกี่ยวกับเรื่องของสุนัข เป็นต้น โดยมีเคล็ดลับการตั้งชื่อไฟล์ภาพ ดังต่อไปนี้

  • ตั้งชื่อเป็นคำอธิบายสั้น ๆ เช่น black-puppy.jpg จะดีกว่าการตั้งชื่อว่า dog.jpg 
  • ตั้งชื่อให้รวบรัด เช่น black-puppy.jpg จะดีกว่าการตั้งชื่อว่า my-super-cute-black-puppy-named-jeff.jpg
  • ไม่จำเป็นต้องใส่คีย์เวิร์ด เช่น black-puppy.jpg จะดีกว่าตั้งชื่อว่า dog-dog-pup-pooch.jpg
  • ใช้ขีดคำระหว่างคำ เช่น black-puppy.jpg 

2. ใช้ข้อความอธิบายโดยการใช้ alt text

Google จะใช้ alt text (alternative text) เพื่อทำความเข้าใจในส่วนเนื้อหาของรูปภาพ ตัวอย่างเช่น 

<img src=”https://yourdomain.com/puppy.jpg” alt=”puppy”>

วัตถุประสงค์หลักของการใช้ alt text คือ การปรับปรุงการเข้าถึงเว็บไซต์สำหรับผู้เข้าชม ที่มีการใช้โปรแกรมอ่านหน้าจอ (screen readers) ซึ่งโปรแกรมนี้สามารถแปลงเนื้อหา และรูปภาพเป็นเสียงได้

และนี่คือคำแนะนำสำหรับการสร้าง alt text:

  • เป็นคำอธิบายเกี่ยวกับรูปภาพ
  • มีความกระชับ และสั้นที่สุดที่จะเป็นไปได้
  • ไม่จำเป็นต้องยัดคีย์เวิร์ดลงไป ซึ่งหากมีการใส่คีย์เวิร์ดที่ไม่สมควรลงไปจะส่งผลให้ผู้ใช้ได้รับประสบการเชิงลบจากการใช้งานเว็บไซต์ (Negative user experience)
  • ไม่จำเป็นอย่าใส่คำเหล่านี้ เช่น “Image of…. “ หรือ “Picture of….” ในคำอธิบาย

คุณสามารถใช้ Ahrefs’ Site Audit เพื่อตรวจสอบเว็บไซต์ของคุณในการหารูปภาพที่ยังไม่มีข้อความ alt text

3. บีบอัดรูปภาพ

การบีบอัดรูปภาพจะทำให้ขนาดไฟล์เล็กลง เเละสามารถโหลดได้เร็วขึ้น ซึ่งสามารถใช้เครื่องมือที่หลากหลายในการบีบอัดไฟล์ภาพ เช่น ShortPixel เป็นต้น

ใช้ลิงก์ภายนอก (External links)

External Links คือ ลิงค์ที่มีการเชื่อมโยงเว็บไซต์ของคุณไปยังเว็บไซต์อื่น ๆ ซึ่งการสร้างลิงค์ในรูปแบบนี้จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์อีกด้วย โดยการเชื่อมโยงลิงค์ภายนอกจะต้องเชื่อมโยงเว็บไซต์อื่น ๆ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ของคุณ

ต้องเเสดงความเชี่ยวชาญของคุณออกมา

Google ให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่สร้างมาจากผู้เชี่ยวชาญ คุณต้องแสดงความเชี่ยวชาญของคุณออกมากให้ผู้อ่านได้เห็น ซึ่งสามารถทำได้ดังนี้

  • แสดงให้ผู้อ่านเห็นว่าคุณมีความรู้ในระดับที่ดีมากในเรื่องนี้
  • ระบุแหล่งที่มาของข้อมูลให้ชัดเจน
  • ต้องแสดงข้อมูลเบื้องหลังของผู้เขียน เช่น การเชื่อมโยงลิงก์ไปยังหน้าเพจของผู้เขียนบนเว็บไซต์ ซึ่งจะแสดงข้อมูลต่าง ๆ ที่ผู้อ่านควรจะทราบ
  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเนื้อหาไม่มีข้อผิดพลาดใด ๆ 

ต้องมีการปรับ Featured Snippets ให้เหมาะสม

Featured snippets คือ ผลลัพธ์การค้นหา ที่สามารถปรากฏบนหน้า Google ได้ โดยจะมีการแสดงคำตอบที่ผู้ค้นหาต้องการที่จะทราบในทันที ซึ่งผู้ค้นหาไม่จำเป็นต้องคลิกเข้าไปอ่านบทความภายในเว็บไซต์ ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นข้อมูลสั้น ๆ ที่ทาง Google จะดึงข้อมูลมาจากเว็บไซต์ที่มีอันดับสูง ๆ และมักจะเป็นเว็บที่ติดอันดับ 1 ใน 10 

ตัวอย่าง Featured Snippets ที่ดีที่สุด มักจะมีลักษณะดังต่อไปนี้

  • เป็นข้อมูลที่มาจากเว็บไซต์ที่ถูกจัดอันดับใน 10 อันดับแรก บนหน้า Google
  • Google แสดง featured snippets ของคุณบนหน้าผลลัพธ์การค้นหา
  • คุณยังไม่ได้เป็นเจ้าของตัวอย่างข้อมูลนั้น ๆ 

คุณสามารถค้นหา Featured Snippets เหล่านี้ได้โดยการใช้ Ahrefs’ Site Explorer โดยการป้อนเว็บไซต์ของคุณลงไป และทำการตรวจสอบอันดับเว็บไซต์ 10 อันดับแรกบนหน้า Google ว่ามีการใช้ Snippets อย่างไร โดยการตรวจเช็คสามารถเข้าดูได้ที่รายงาน Organic Keywords ทั่วไป จะแสดงคีย์เวิร์ดที่ใช้ในเว็บไซต์ที่ถูกจัดอันดับให้อยู่ใน 10 อันดับแรกบน Google

รับตัวอย่างข้อมูล (Snippets) ที่มีโครงสร้างที่สมบูรณ์

ตัวอย่างข้อมูล หรือ Snippets ที่สมบูรณ์นั้น คือ การแสดงผลการค้นหาที่เน้นข้อมูลที่มีโครงสร้างฝังอยู่ในหน้าเว็บไซต์ จุดประสงค์ก็คือเพื่อเป็นการให้ข้อมูลสรุปเกี่ยวกับผลลัพธ์หน้าเว็บไซต์นั้น ๆ แก่ผู้ค้นหาโดยสังเขป ซึ่งผูเค้นหาไม่จำเป็นต้องคลิกเข้าไปในเว็บไซต์

ข้อมูลที่มีโครงสร้าง (Structured Data) ไม่ใช่ปัจจัยสำคัญในการจัดอันดับเว็บไซต์ แต่ช่วยให้ Google สามารถเข้าใจเนื้อหาคอนเทนต์ที่อยู่ในหน้าเว็บของคุณได้ดีมากยิ่งขึ้น ไม่เพียงเท่านั้นยังทำให้หน้าเว็บไซต์ของคุณมีความโดดเด่น และสะดุดตาต่อผู้ค้นหา และสามารถนำไปสู่การเพิ่มอัตราการคลิกเข้าชมเว็บได้มากขึ้น 

สรุปประเด็นสำคัญ

On-Page SEO คือ การทำทุกสิ่งที่คุณจะสามารถจัดการได้ในหน้าเว็บไซต์เพื่อปรับปรุงเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มอันดับของเว็บไซต์ โดยไม่ใช้การใช้คีย์เวิร์ดหลักซ้ำ ๆ เพราะหากทำเช่นนั้นจะทำให้อันดับเว็บลดต่ำลงได้ การปรับ On-Page SEO สามารถทำได้โดยการปรับคอนเทนต์, การตั้งชื่อหัวข้อหน้าเพจ (Title tag), การใส่คำอธิบายเว็บไซต์ (Meta Description), การปรับรูปภาพใ้ห้มีขนาดเหมาะสม และการสร้าง External link เป็นต้น ซึ่งกระบวนการเหล่านี้จะช่วยให้ Google และผู้ค้นหาสามารถเข้าใจเนื้อหาในเว็บไซต์ของคุณได้มากขึ้น

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *