มาทำความรู้จักกับ 8 อันดับ บริษัทผู้ให้บริการ Web Hosting ต่างประเทศ ที่ดีที่สุดในปี 2022
เนื่องจากมีคนสอบถามเข้ามาเกี่ยวกับ Web Hosting ต่างประเทศ ว่าเราควรใช้โฮสติ้งของที่ไหนดี หรือ ผู้ให้บริการรายใดดีเป็นจำนวนมาก ผมเองจึงตั้งใจเขียนบทความนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นตัวเลือกให้กับคนที่ต้องการหา Hosting ดีๆ มีประสิทธิภาพในราคาไม่แพง และด้วยจำนวนของบริษัทที่มีให้บริการทางด้าน Hosting นี้เป็นจำนวนมาก จึงไม่ง่ายที่จะรู้ว่าที่ไหนใช้งานแล้วจะดี และหลายคนคงไม่มีโอกาสได้ทดสอบหรือทดลองใช้งานได้ทั้งหมด ผมจึงคัดโฮสติ้งต่างประเทศ 8 อันดับที่ดีที่สุดในช่วง 24 เดือนที่ผ่านมามาให้ จะมี Web Hosting ของบริษัทไหนบ้างนั้น ไปติดตามกัน….
ประเมินทุกเว็บโฮสต์โดยพิจารณาจาก
- โฮสมีราคาไม่แพง
- เวลาทำงาน สามารถทำงานได้ดี
- เวลาที่ใช้ในการโหลดดีเยี่ยม
- ฟีดเจอร์ที่มีให้เป็นอย่างไร
- ระบบรักษาความปลอดภัย
8 Web Hosting ต่างประเทศ ที่ดีที่สุดในปี 2022
1. BlueHost – บอกได้คำเดียวว่าดีในทุกอย่าง
BlueHost ข้อดี
- การันตีการทำงานโดยเว็บไม่มีล่ม 99.99%
- ความเร็วในการโหลด (405 ms)
- มีฟังก์ชั่น ติดตั้งเวิร์ดเพลสได้ใน 1 คลิ๊ก
- ง่ายสำหรับผู้เริ่มต้นใช้งาน
- มีโดเมนฟรี และ เครื่องมือสร้างเว็บไซต์ให้ใช้งาน
- บริการช่วยเหลือ 24 ชม. 7 วัน ผ่านทางแชทและโทรศัพท์
BlueHost ข้อเสีย
ต้องใช้บริการ Package ที่มีระยะเวลาค่อนข้างเยอะ ถึงจะได้รับส่วนลด
รายละเอียด
Bluehost เริ่มตั้งขึ้นประมาณปี 2007 ณ ตอนนี้มีผู้ใช้บริการราวๆ 3,000,000 เว็บไซต์ เป็นผู้ให้บริการที่มีราคาไม่สูงอีกทั้งยังมีประสิทธิภาพในการทำงานที่สูงที่สุดในปีนี้ โดยทำเวลาในการโหลด และ การเข้าถึงข้อมูลตลอด 24 เดือนที่ผ่านมาอยู่ที่ 99.99% และ 405 ms
ราคาเริ่มต้น $2.75 /เดือน สำหรับแพคเกจ 3 ปีขึ้นไป โดยหลังจากที่หมดอายุสามารถต่ออายุได้แต่จะมีราคาค่อนข้างสูงกว่า (renews $7.95) สำหรับตัวช่วยสร้างเว็บและฟังก์ชั่น ลง WordPress ได้ด้วยคลิ๊กเดียวผ่านระบบ Cpanel จะให้กับคนใหม่ที่ยังไม่เคยมีเว็บไซต์มาก่อน และมีแบรนด์วิธ 50 GB สำหรับแพคเกจปกติ ได้รับการการันตีจาก WordPress.org ว่าเป็นโฮสติ้งที่ใช้งานกับ WordPress ได้ดีเยี่ยม
Bluehost สนับสนุนการใช้งานให้กับลูกค้าตลอด 24/7 และมี SSL (security layer) ให้ทุกแพคเกจ มันจึงเป็นอะไรที่ง่ายสำหรับการได้เข้าถึงผู้ให้บริการที่มีความน่าเชื่อถือ และมีความปลอดภัยในเวลาเดียวกัน BlueHost ยังรับประกันความพึงพอใจ สามารถคืนเงินได้ภายใน 30 วัน โดยจะได้รับเงินเต็มจำนวน
2. HostGator Cloud – ดีที่สุดสำหรับคลาวด์โฮสติ้ง
ข้อดี HostGator Cloud
- การันตีการทำงานโดยเว็บไม่มีล่ม (99.99%)
- ความเร็วในการเข้าถึงข้อมูล (399 ms)
- บริการย้ายเว็บไซต์ฟรี
- ไม่มีการจำกัดแบนด์วิชท์และพื้นที่ที่ใช้งาน
- มีหลายดาต้าเซ็นเตอร์ เลือกได้ว่าต้องการที่ไหน
- สร้างอีเมล์แอคเคาร์ได้ไม่จำกัด
ข้อเสีย HostGator Cloud
ค่าใช้จ่ายในการต่ออายุค่อนข้างสูง
รายละเอียด
HostGator ก่อตั้งในปี 2002 และเป็นผู้ให้บริการแชร์โฮสติ้ง และ คลาวด์โฮสติ้งที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ปัจจุบันมีเว็บไซต์กว่า 2,000,000 เว็บไซต์ที่รันอยู่บน Server ของ HostGator
HostGator Cloud มีความจุดแกร่งในเรื่องของเวลาโหลด และ การทำงานที่มีความเสถียรอย่างมาก อีกทั้งยังมีความน่าสนใจตรงที่ความยืดหยุ่นในการเลือกฟีตเจอร์ต่าง อาทิเช่น สร้างอีเมล์ได้ไม่จำกัด ไม่จำกัดแบรนด์วิธ ไม่จำกัดพื้นที่เก็บข้อมูล และมี SSL certificate ให้ใช้งานฟรี มาพร้อมกับ Free 1 Click Install WordPress และที่โดนใจลูกค้าดูเหมือนจะเป็นการให้โดเมนเนมฟรี 1 ปี สำหรับการสมัครใช้งานระยะเวลา 3,6,12 เดือน
ถ้าคุณต้องการที่จะสร้างเว็บไซต์ในแบบหรือตามความต้องการของคุณเอง ทาง HostGator ก็มี ” Gator Website Builder” ให้คุณสามารถใช้งานได้ง่ายๆด้วยวิธีการ ลากและวาง เพื่อที่จะออกแบบเว็บไซต์
แพคเกจที่ถูกที่สูดของ HostGator คือ $2.74/เดือน เมื่อคุณเลือกจ่ายแบบ 2 ปี และสำหรับการต่ออายุใหม่อยู่ที่ $10.95/เดือน ทุกแพคเกจการันตีความพึงพอใจภายใน 45 วัน ถ้าคุณใช้งานแล้วไม่โอเค คุณสามารถทำการขอคืน และยกเลิกการใช้บริการได้
3. Hostinger – โฮสติ้งคลาวด์ที่ถูกที่สุด
ข้อดี Hostinger
- ได้รับการจัดอันดับเป็นเว็บโฮสติ้งที่มีเวลาโหลดเร็วเป็นอันดับที่ 2 ของกลุ่ม (350 ms)
- มีราคาที่ค่อนข้างถูกมากเมื่อเทียบกับผู้ให้บริการเจ้าอื่น ($0.99/mo)
- มีดาต้าเซ็นเตอร์ในอเมริกา ยุโรป และ เอเชีย
- ให้บริการ SSL certificate ฟรี
- ช่วยเหลือผ่านช่องทางแชท 24 ชม. 7 วัน ไม่มีวันหยุด
ข้อเสีย Hostinger
- ไม่มีโดเมนแถมให้เมื่อซื้อโฮสกับที่นี่
- สำหรับแพคเกจที่ราคาไม่สูง โฮสติ้งจะถูกจำกัดในส่วนของ Bandwidth
รายละเอียด
24 เดือนที่ผ่านมาโฮสติ้งของ Hostinger มีค่า uptime โดยประมาณอยู่ที่ 99.95% และมีความรวดเร็วในการโหลดมากถึง 350 ms ทางบริษัทมีฟีตเจอร์ที่แตกต่างกันไปในแต่ละแพคเกจ ทุกแพคเกจจะมีตัวช่วยสร้างเว็บให้ + ฟรี SSL certificate สำหรับทุกเว็บไซต์ รับประกัน 99.9% uptime และมีบริคอยการช่วยเหลือตลอด 24 ชม. 7 วัน แพคเกจที่ถูกที่สุดเริ่มต้นที่ $0.99/เดือน (กรณีที่คุณเลือกจ่ายแบบ 48 เดือน) สำหรับการต่ออายุเพื่อใช้งานต่อ จะเริ่มต้นที่ $2.15/เดือน
บริการอื่นๆ ที่แนะนำ Cloud, Email, WordPress, VPS, Windows VPS hosting
( ทุกแพคเกจสามารถคืนเงินได้ภายใน 30 วัน )
4. GreenGeek – โฮสติ้งประหยัดพลังงาน
ข้อดี GreenGeeks
- โหลดได้อย่างรวดเร็ว (445 ms)
- ความเสถียรของโฮสติ้ง (99.98%)
- มีเครือข่ายทั้งใน อเมริกา แคนนาดา และเนเธอแลนด์
- ฟรีสำหรับการย้ายเว็บไซต์
- ไม่จำกัดพื้นที่และแบนด์วิชท์
ข้อเสีย GreenGeeks
- มีเงื่อนไขในการคืนเงิน
- ค่าใช้จ่ายในการต่ออายุค่อนข้างสูง
รายละเอียด
GreenGeeks เปิดให้บริการมานานกว่า 12 ปี โดยมีเว็บไซต์ที่รันอยู่บนโฮสติ้งมากกว่า 500,000 เว็บ
ทุกแพคเกจ แถมฟรีโดเมน 1 ปี มี cPanel ให้ใช้งาน, ฟรี Wildcard SSL, ฟรี PowerCacher, พื้นที่ใช้งานไม่จำกัด และไม่จำกัดการเข้าออกของไฟล์ ลูกค้าทุกคนสามารถใช้งานกับโดเมนได้ไม่จำกัดจำนวน สร้างอีเมล์ได้ไม่จำกัด และการสำรองข้อมูลรายวัน
กรณีที่เว็บไซต์ของคุณเริ่มใหญ่ขึ้น มีคนเข้าใช้งานมากขึ้น คุณสามารถที่จะอัพเกรดไปใช้เป็น VPS ได้ทุกเมื่อที่ต้องการ อีกทั้งยังมีบริการย้ายเว็บไซต์ให้ฟรีอีกด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่นอกเหนือจากโฮสติ้งก่อนหน้านี้ ( รับประกันหากไม่พอใจบริการ สามารถยกเลิกได้ภายใน 30 วัน)
5. DreamHost
ข้อดี DreamHost
- โหลดได้อย่างรวดเร็ว (648 ms)
- การันตีเว็บทำงานได้ตลอด
- มีแพคเกจจ่ายเป็นรายเดือน
- ใช้บริการแล้วไม่โอเค รับประกันคืนเงินใน 97 วัน
- ไม่จำกัดแบรนด์วิชท์และพื้นที่เก็บข้อมูล
ข้อเสีย DreamHost
- Uptime เพียงแค่ 99.4%
- ไม่มี Cpanel ให้ใช้งาน
รายละเอียด
ก่อตั้งเมื่อปี 1996, DreamHost คือผู้ให้บริการโฮสติ้งที่เก่าแก่ที่สุดเจ้าหนึ่ง มีคนใช้งานมากกว่า 1500000 เว็บไซต์ และยังมีการให้บริการในส่วนของ Hosting for app อีกกว่า 100 ประเทศทั่วโลก เมื่อ 24 เดือนที่ผ่านมา เราพบว่า DreamHost มีค่า Uptime อยู่ที่ 99.94% และ มีความเร็วประมาณ (648 ms) ในการโหลด
สิ่งที่ทำให้ดรีมโฮสมีความแตกต่างไปจากเจ้าอื่นๆ คงจะเป็นในการของการที่สามารถจ่ายเป็นรายเดือนได้ ซึ่งปกติแล้วจะไม่มีใครทำในรูปแบบนี้ออกมา ซึ่งทำให้สามารถที่จะลดในส่วนของภาระทางด้านการเงินลงได้ในกรณีที่ต้องการใช้งาน แต่ไม่ได้ต้องการใช้หลายเดือนนั่นเอง
มีบริการ LetsEncrypt SSL + ไม่จำกัดปริมาณข้อมูลเข้า – ออกต่อเดือน
ช่วยเหลือตลอด 24/7 ในสหรัฐอเมริกา สามารถขอความช่วยเหลือผ่านทางไลฟ์แชทได้ด้วย (การันตีคืนเงินได้ภายใน 97 วัน หลังจากใช้งาน)
6. Siteground
ข้อดี Siteground
- ความเร็วในการโหลด ( เข้าถึง 673 ms )
- Stable uptime (99.99%)
- Knowledgable customer support
- 24/7 “Guru” chat support
- 20+ email accounts
ข้อเสีย Siteground
- Setup fee on monthly plans
- Limited cheap plan
รายละเอียด
SiteGround ก่อตั้งในปี 2004 โซเฟีย ประเทศบัลแกเรีย มีฐานคนใช้งานอยู่กว่า 2 ล้าน และเป็นหนึ่งใน 3 ของผู้ให้บริการโฮสติ้งที่ทาง WordPress.org แนะนำ มี uptime (99.99%) และความเร็วในการโหลด (673 ms) จัดได้ว่าเป็นเว็บโฮสติ้งที่ติดหนึ่งใน 10 ของปีนี้ ทุกแพคเกจที่มีบน Siteground จะมาพร้อมกับ ตัวช่วยในการออกแบบ, อีเมล์, SSL, Cloudflare CDN, ระบบสำรองข้อมูลทุกวัน และการได้สิทธิ์เข้าถึง SSH access ฟรี โดยมีราคาเริ่มต้นที่ $3.95/ เดือน (กรณีที่ชำระเป็นรายปี หรือ 12 เดือน ) กรณีต่ออายุเริ่มต้นที่ $11.95/เดือน แพคเกจนี้มาพร้อมกับพื้นที่ใช้งาน 10 GB และไม่จำกัดแบรนด์วิชท์ รวมถึงมีบริการช่วยเหลือ 24 ชั่วโมง 7 วัน
SiteGround มีบริการที่ครอบคลุมตั้งแต่ WordPress hosting, WooCommerce hosting, cloud hosting, enterprise hosting, and dedicated servers หากใช้งานแล้วไม่โอเค ขอเงินคืนได้ใน 30 วัน
7. A2Hosting
ข้อดี A2Hosting
- โหลดได้อย่างรวดเร็ว (317 ms)
- เซิฟเวอร์ที่ปรับแต่งมาเพื่อใช้กับ WordPress โดยเฉพาะ
- ให้พื้นที่ข้อมูล ( Space data) และแบรนด์วิชไม่จำกัด
- มีคนคอยช่วยเหลือ 24 ชั่วโมง
- สร้างอีเมล์ได้มากกว่า 20 อีเมล์
ข้อเสีย A2 Hosting
- Average uptime (99.93%)
- ต่ออายุค่อนข้างแพง
รายละเอียด
A2 Hosting ก่อตั้งในปี 2002 โดยมีศูนย์ใหญ่ตั้งอยู่ที่อเมริกา ถูกจัดให้เป็นโฮสติ้งที่เร็วและสามารถปรับแต่งได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย LiteSpeed cache แต่ถึงอย่างนั้นประเด็นที่สำคัญในปีนี้ที่คือ โฮสติ้งของทาง A2 ได้มีการ Downtime อยู่ราวๆ 6 ชั่วโมงซึ่งถ้าเทียบกับเจ้าอื่นๆ ก็อาจจะเป็นต่อในเรื่องนี้ สำหรับราคาเริ่มต้นของแพคเกจ“Lite” จะอยู่ที่ $2.96/เดือน (ต่ออายุ $7.99/เดือน) ลูกค้าสามารถติดต่อหรือขอความช่วยเหลือได้ 7 วัน | 24 ชั่วโมง | 365 วัน
8. Godady Hosting
ข้อดี Godady Hosting
- เวลาในการโหลด (554 ms)
- การทำงานของโฮสติ้ง (99.97%)
- ให้พื้นที่จุใจ 100 GB
- มี Cpanel & Website Builder ให้
- การันตีการทำงานที่มีความเสถียรถึง 99.90%
ข้อเสีย Godady Hosting
- มีค่าใช้จ่าย SSL & Email
- ไม่มีบริการย้ายเว็บไซต์ให้
รายละเอียด
GoDaddy คือ ผู้นำในการให้บริการโฮสติ้งที่มีประสิทธิภาพ โดยปัจจุบันมีเว็บไซต์ถึง 44 ล้านเว็บ บนโฮสติ้งของบริษัท ซึ่งบริษัทเองยังเป็นหนึ่งในรายใหญ่ที่ให้บริการจดโดเมนไปทั่วโลก มีสาขาอยู่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และเพื่อที่จะตอบสนองความต้องการที่มากขึ้น ทางบริษัทจึงได้มีการพัฒนาโฮสติ้งที่จะสามารถรองรับในสเกลที่เล็กและใหญ่ได้อย่างคล่องตัว
ค่าบริการโฮสติ้งเริ่มต้นที่ $4.33/เดือน (ต่ออายุ $8.99/เดือนเท่านั้น) และจะมาพร้อมกับพื้นที่จัดเก็บข้อมูลขนาด 100GB อีกทั้งยังไม่จำกัดแบรนด์วิช มีระบบป้องกัน DDOS Attack อีกด้วย แต่ถึงแม้จะดูว่ามีหลายอย่างที่ให้ฟรี แต่ก็มีที่ไม่ฟรีด้วยเช่นกัน อาทิเช่น SSL, Email เป็นต้น
หมายเหตุ:
แบรนด์วิชท์ คือ ปริมาณการถ่ายเทข้อมูลจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง ถ้าเรียกง่ายๆ ก็คือ ปริมาณการรับ-ส่งข้อมูลนั่นเองโฮสติ้ง คือ พื้นที่ที่ไว้สำหรับเก็บข้อมูล โดยมีความจุที่แตกต่างกันออกไป เปรียบเสมือน Warehouse ที่ใช้เก็บของนั่นเองโดเมน คือ ชื่อที่ใช้เรียกเว็บไซต์ เพื่อให้เข้าถึงได้ง่าย โดยปกติแล้วโดเมนจะมาในรูปแบบของ IP Address เช่น 202.85.332.22 ซึ่งจำได้ยาก จึงมีการคิดค้นชื่อเพื่อใช้ในการระบุตำแหน่งต่างๆ ของ IP Address ขึ้น ซึ่งต่อมาเราเรียกมันว่าโดเมนเนม
การตรวจสอบ Web Hosting ต่างประเทศ แต่ละบริษัทนั้นได้กำหนดกระบวนการไว้ดังนี้
1. ซื้อโดเมนจากผู้ให้บริการแต่ละเจ้าที่ให้บริการโฮสติ้ง
เราซื้อโดเมนจากผู้ให้บริการโฮสติ้งรวมแล้วประมาณ 20 บริษัท เพื่อให้การทดลองในครั้งที่มีความแม่นยำมากที่สุด
ตย. เช่น https://___.siteground.com เป็นต้น
2. ทำการซื้อ Package ที่ต่ำที่สุดของแต่ละเจ้าโดยให้มีความใกล้เคียงกันมากที่สุด
ผู้ให้บริการโฮสติ้งเว็บไซต์แต่ละเจ้ามีแพ็คเกจไม่เหมือนกัน จึงเลือกใช้งานสเปคที่ต่ำที่สุดที่มีให้ของแต่ละบริษัท
3. เชื่อมต่อโดเมนกับโฮสติ้งของผู้ให้บริการแต่ละเจ้า
หลังจากที่ได้ทำการเชื่อมต่อโดเมนและ เราได้ทำการติดตั้ง WordPress และ ธีม ในเวอร์ชั่นที่เหมือนกันทุกโฮสติ้ง เพื่อที่จะได้ให้ผลไม่คลาดเคลื่อน
4. รวบรวมข้อมูลผลของการใช้งาน Hosting เป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี
เราใช้เครื่องมือที่ได้มาตรฐานในการรับรองผล และเป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับมากที่สุดตัวหนึ่ง นั่นคือ Pingdom โดย Pingdom นั้นจะสามารถตรวจสอบเว็บไซต์ในส่วนของ Uptime & Load Time ได้ในทุกๆ 1 นาที โดยสามารถดูผลได้จากที่นี่ (ข้อมูลที่ยังอัพเดท)
5. สอบถามความคิดเห็นจากคนที่ใช้บริการเว็บโฮสติ้งแต่ละเจ้าโดยยึดในเรื่องของความเร็วเว็บไซต์เป็นหลัก
สอบถาม และ พิจารณาจากรีวิวของลูกค้าแต่ละคนจากเว็บไซต์จัดอันดับรีวิวโฮสติ้งต่างประเทศที่เชื่อถือได้
________________________________________________________________
แล้วถ้าเป็นคุณ คุณจะใช้ Web Hosting ของที่ไหน เพราะอะไร ผมรู้ว่าคุณมีคำตอบอยู่แล้ว ^^
ขอให้สนุกกับการเลือกใช้งานครับ
……. เพิ่มเติม ………
สนใจเรียน WordPress ตัวต่อตัวแบบ Live Stream ด้วยโปรแกรม ZOOM หรือ Webex ได้แล้ววันนี้โปรโมชั่นลด 10% จากราคาปกติ
ดูวันว่าง และ จองเวลาเรียน ที่นี่